วันศุกร์, มีนาคม 29, 2024
World Movement

ชมตัวจริง Toyota C-HR เวอร์ชั่นขายในสหรัฐอเมริกา ก่อนเปิดตัวในไทยปีหน้า

ถ้าจะกล่าวถึงรถที่นำสมัย, แข็งแรงและปราดเปรียว, เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอย่าง Toyota Safety Sense P™ (TSS-P) ซึ่งเวลานี้จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก all-new 2018 Toyota C-HR  – ครอสโอเวอร์สปอร์ตคูเป้ดีไซน์ล้ำอนาคต ที่จะจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเดือนเมษายนนี้

2018 C-HR ยังคงความล้ำยุคของตัว Concept Car ที่ได้เคยเปิดตัวไปเมื่อปี 2014 ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา, ความทันสมัย, และห้องโดยสารที่สะดวกสบาย โดยจะมีให้เลือก 2 รุ่น คือ XLE และ XLE พรีเมี่ยม ซึ่งแต่ละรุ่นที่มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว, เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา, เบาะ Bucket Seat, เครื่องเสียงจอ 7 นิ้ว

แต่ Toyota C-HR ไม่ใช่แค่ดูดีเท่านั้น แต่มันยังมีความสปอร์ตอยู่ในตัวอีกด้วย ซึ่งต้องขอบคุณ Deputy Chief Engineer, Hiro Koba อดีตนักแข่งรถที่มีความเร็วอยู่ในสายเลือด  Koba และทีมงานของเขา ต้องทำให้แน่ใจว่า C-HR สามารถทำให้ผู้ขับขี่มีความสุขในทุกที่ ทุกเวลา  ซึ่ง C-HR นัันถูกทดสอบและพัฒนาที่สนาม Nürburgring เป็นส่วนใหญ่อีกด้วย ซึ่งภายใต้รูปร่างที่แปลกตานี้ มันผสมผสาน ความสะดวกสบาย, การควบคุม, ความมั่นคง, และการตอบสนองที่ดีเยี่ยม ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

Polished Diamond Style

ทีมออกแบบของโตโยต้าได้ให้นิยามการออกแบบ C-HR ไว้ว่า “Distinctive Diamond” หรือ “เพชรที่โดดเด่น”  ดีไซน์อัญมณีที่โดดเด่นนี้ทำให้รู้สึกถึงความหรูหรา, ความน่าดึงดูดใจ, ความซ่อนเร้น, และความแข็งแรง  ซึ่งทีมออกแบบก็ได้เปลี่ยนลักษณะข้างต้นให้เป็นรูปแบบทางกายภาพที่เซ็กซี่, กำยำ, และปราดเปรียว ซึ่งนั่นทำให้เจ้า Crossover คันนี้สามารถลัดเลาะ ซอกซอก ไปในเส้นทางแคบๆ ในเมืองได้อย่างง่ายดายและโดดเด่น พร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่ปราดเปรียวและคล่องแคล่ว

ด้านหน้ามาพร้อมกับไฟหน้าฮาโลเจนแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมด้วยไฟ DRL แบบ LED  ตัวโคมไฟคาดยาวไปเกือบสุดแก้มข้างตัวรถ ซึ่งทำให้ตัวรถดูกว้างขึ้น  โดยตัวตัวรถมีขนาด กว้าง x ยาว x สูง อยู่ที่  70.7 x 171.2 x 61.6 นิ้ว และมีฐานล้อยาว 171.2 นิ้ว  ด้วยเส้นสายบุคลิกที่ดูลึกลับ โค้งมน ผสานกับตรา Toyota ที่โดดเด่น ขนาบข้างด้วยโคมไฟหน้า ทำใหด้านหน้าดูแคบลง แต่ปราดเปรียว  เส้นสายผ่านใต้หน้าต่างด้านข้างยาวมาด้านบนของล้อหลังไปถึงเสา C (C-Pillar) ซึ่งมีที่เปิดประตูหลังซ่อนอยู่ด้วย

C-HR มาพร้อมกับล้ออัลลอยลายกระแสน้ำวน (vortex-styled) ขนาด 18 นิ้ว หุ้มด้วยยางขนาด 225/50R-18  ด้านหลังให้ความสมดุลด้วยเส้นสายที่ละเอียดปราณีตและมีรูปแบบ 3มิติ  ไฟท้ายมีลักษณะยื่นออกมาจากข้างหลัง  ตัว hatchback ถูกเสริมความหล่อด้วย spoiler ทรงหางตูดเป็ดที่ขอบด้านล่าง เพิ่มแรงกดด้วยปีกสีเดียวกับตัวรถที่ติดอยู่ด้านบน

ว่าด้วยเรื่องหลักอากาศพลศาสตร์ C-HR มีค่าสัมประสิทธิ์แรงฉุดของอากาศ (Coefficient of Drag – Cd) อยู่ที่ 0.34  ซึ่งเป็นผลของการที่มันมีแก้มข้างด้านหลัง, บังโคลลนหน้า-หลัง, กันชนหลังที่ลู่ลม, คลีบหลังที่ติดอยู่กับไฟท้าย ช่วยจัดการกับอากาศที่เข้ามารบกวนบริเวณรอบๆ ตัวรถได้ดียิ่งขึ้น ด้านล่างของรถก็ยังมีแผ่นป้องกันบริเวณใต้เครื่องยนต์, พื้นห้องโดยสาร, ถังน้ำมัน, และด้านหลังของล้อหลัง ทำให้ควบคุมรถได้ง่ายยิ่งขึ้นและยังประหยัดน้ำมันมากขึ้นอีกด้วย ในส่วนของแขนควบคุมล่างและช่วงล่าง double-wishbone ก็ยังมีรูปทรงลู่ลม (streamline edge) อีกด้วย

ในรุ่น XLE Premium จะมีมือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ พร้อมด้วยเซนเซอร์ระบบสัมผัสสำหรับการล็อค-ปลอดล็อครถ, และไฟตัดหมอกหน้า พ่วงด้วยกระจกมองข้างปรับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว, ไฟเตือนจุดอับสายตา, ไฟ puddle lights ส่องสว่างเป็นโลโก้ “C-HR”, และระบบพับเก็บอัตโนมัติ

ห้องโดยสารอันล้ำสมัย

เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็จะพบกับห้องโดยสารที่กว้างขวางและนำสมัย แพงคอนโซลกลางหุ้มด้วยวัสดุบุนุ่ม, ปุ่มเครื่องปรับอากาศดีไซน์รูปเพช พร้อมระบบปรับแยกอิสระซ้าย – ขวา, และลำโพงเซอร์ราวด์

ด้วยเสา A ที่มีขนาดเล็กประกอบกับแผง dashboard และแผงปุ่มควบคุมต่างๆที่ลาดลง ทำให้มีวิสัยทัศน์ในการการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น และยังทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถกดปุ่มต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย, ระบบเครื่องเสียงจอ 7 นิ้ว วางอยู่ตรงกลางทำมุมเอียงหันมาหาผู้ขับขี่, มาตรวัดทรงกลม 2 วง อ่านง่ายสบายตา, พวงมาลัย multi-function หุ้มหนัง สามารถปรับ ยืด-หด:บน-ล่าง ได้ พวงมาลัยมีขนาดกระทัดรัด จับได้ถนัดมือ, หัวเกียร์อลูมิเนียมพร้อมด้วยแปน satin แปะอยู่ ให้ความรู้สึกที่หรูหรา และสามารถเข้าเกียร์ได้แม่นยำอีกด้วย จอ Multi-Information Display (MID) ขนาด 4.2 นิ้ว วางอยู่ตรงกลางระหว่างมาตรวัดทั้ง 2 วง สำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ เช่น มาตรระยะทาง, โหมด SPORT และ ECO, อุณหภูมิภายนอก, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันและข้อมูลการเดินทาง, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันย้อนหลัง, G-force monitor, และอีกมากมาย

อุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น XLE มาพร้อมกับการตกแต่งอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยสีดำ; พวงมาลัยหุ้มหนังระดับพรีเมี่ยม; กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติพร้อมกล้องมองหลัง; เบรคมือไฟฟ้า; เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระ ซ้าย-ขวา; เบาะคู่หน้าทรงสอร์ตปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง

ในรุ่น XLE Premium ก็จะมีระบบช่วยเตือนในจุดอับสายตา BSM (Blind Spot Monitor) และ ระบบแจ้งเตือนรถวิ่งตัดท้ายขณะถอย RCTA (Rear Cross Traffic Alert); เบาคู่หน้าปรับอุ่นได้; เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางt; และระบบกุญแจอัจฉริยะ พร้อม Push Start. ทััง 2 รุ่นจะประกอบไปด้วยเครื่องเสียง HD Radio™ พร้อมลำโพง 6 ตัว, Aha™ app, พอร์ต USB 2.0 ควบคุม iPod ได้, ช่องเสียบ AUX , ระบบ Bluetooth®, และระบบสั่งงานด้วยเสียง

C-HR ยังมาพร้อมระบบใหม่ของโตโยต้าที่มีชื่อว่า Driver Distraction Secure Audio (DDSA) และ Brake Hold Function. ซึ่งระบบ DDSA จะป้องกันให้ผู้ขับขี่ไม่สามารถใช้บางเมนูจากระบบมัลติมีเดียในขณะที่รถวิ่งอยู่ได้ เพื่อเป็นไปตาม Driver Distraction Guidelines ของ NHTSA (National Highway Traffic Safety Administration). Brake Hold Function เป็นระบบที่ช่วยเพิ่มความสบายให้กับคนขับ โดยระบบจะรักษาแรงเบรคไว้ทั้ง 4 ล้อ เพื่อให้รถมั่นคงขณะจอดหยุดนิ่ง ซึ่งนั่นทำให้รถยังคงอยู่นิ่ง ถึงแม่ว่าคนขับจะเอาเท้าออกจากแป้นเบรคแล้วก็ตาม ถ้าคนขับเหยียบคันเร่ง แรงเบรคก็จะลดลงแล้วรถก็จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามปกติ

เบาะนั่งนุ่มสบายโอบกระชับผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้ดี ผู้โดยสารจะประทับใจกับช่องเก็บของที่มีอยู่มากมายรอบคัน; ช่องข้างประตูทั้ง 4 บาน และที่วางแก้ว (หน้า 2 – หลัง 2) การจัดการเนื้อที่ภายในห้องโดยสารที่ดีเยี่ยมทำให้ผู้โดยสารด้านหลังวางขาได้สบายมากยิ่งขึ้น และยังมีวัสดุดูดซับเสียงติดอยู่รอบๆ ตัวรถเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอกอีกด้วย

ในขณะเดียวกันเบาหลังสามารถพับเก็บแบบ 60/40 เพื่อเพิ่มเนื้อที่บรรทุกสัมภาระได้อีกด้วย, และขณะที่เบาตั้งตรงปกติก็สามารถติดตั้งเบานั่งสำหรับได้อย่างง่ายดายด้วยระบบ LATCH (Lower Anchors and Tethers for Children) อีกด้วย. ตัวปลดล็อคเบาหลังอยู่ที่ด้านบนไหล่ของเบาะทำให้พับเก็บได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งเข็มขัดนิรภัยด้านหลังยังออกแบบมาไม่ให้กีดขวางเบาะขณะทำการพับอีกด้วย

Toyota C-HR เป็นรถที่ขับสนุกและนั่งสบาย อันเป็นผลมาจากการการใช้ Toyota New Global Architecture (TNGA) C-Platform ในการออกแบบซึ่งยังทำให้มันดูดีอีกด้วย C-HR มีบุคลิกภาพแข่งการขับขี่ที่โดดเด่น ซึ่งมีส่วนผสมของรถรสสอปร์ตอยู่ในตัวมันด้วย ไม่ว่าจะเป็น กาตอบสนองที่ยอดเยี่ยม, มีความเที่ยงตรง, มีความมั่นคง, และมีความสะดวกสบาย

C-HR ถูกพัฒนาทางด้านคุณภาพในการขับขี่มานานหลายปีจากสนามแข่งอันเลื่องชื่อที่มีโค้งเยอะที่สุด และโหดที่สุดในโลกอย่าง Nürburgring Nordschleife, Germany  จากการใช้ TNGA C-platform และลองผิดลองถูกอยู่อยู่หลายครั้ง ทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ, ความแข็งแรงสูง, และมีน้ำหนักเบา

ช่วงล่างที่มั่นคง

ช่วงล่างด้านหน้าแบบ แม็กเฟอร์สัน สตรัท ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ บวกกับ damper จาก SACHS ที่มี angled strut bearings และ เหล็กกันโคลงมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่ ช่วยให้ C-HR เข้าโค้งได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น ส่วนด้านหลังใช้ช่วงล่างที่ได้รับการพัฒนาใหม่แบบ ดับเบิ้ลวิชโบน โดยใช้เหล็กกันโคลงขนาด 26 มิลลิเมตร และ damper จาก SACHS พร้อมแผ่นยางยูรีเทนหนุนอยู่ด้านบน และวัสดุที่ใช้ทำ upper support housing ยังเป็นอลูมีเนียมแบบหล่อ ซึ่งช่วยให้ damper ดูดซับแรงกระแทกได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผู้โดยสารมีความสะดวกสบายในการเดินทาง, มีห้องโดยสารที่เงียบ, และรถก็ยังมีความกระฉับกระเฉงอีกด้วย

C-HR ใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าแบบ column-type (Electronic Power Steering – EPS)  ซึ่งจะแปรผันน้ำหนักไปตามความเร็วของรถ ทำให้ผู้ขับขี่มีความมั่นใจในการควบคุมรถมากขึ้น ระบบบังคับเลี้ยวยังคงเป็นแบบ rack-and-pinion steering gearbox คุณภาพสูงติดตั้งที่ช่วงล่างด้านหน้าโดยตรง เบรคอย่างมั่นใจด้วยจานเบรคหน้าแบบมีครีบระบายความร้อนขนาด 11.7 นิ้ว และจานเบรคแบบตัน ขนาด 11.1 นิ้ว ที่ด้านหลัง

ขุมพลังที่จัดจ้าน

C-HR มาพร้อมกับขุมพลัง DOHC  4 สูบ 2.0 ลิตร 144 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงมีแรงบิดอยู่ที่ 139 ปอนด์ฟุต ที่ 3,900 รอบ/นาที ส่งพลังสู่ล้อหน้าโดยเกียร์อัจฉริยะ CVTi-S (Continuously Variable Transmission with intelligence and Shift mode) ตัวเครื่องยนต์มาพร้อมกับเทคโนโ,ยีล่าสุดจากโตโยต้ามากมาย อาทิ ระบบวาล์วแปรผัน Variable Valve Timing (VVT) และ Valvematic  ซึ่งระบบ Valvematic จะควบคุมปริมาณอากาศที่ถูกสูบเข้าสู่กระบอกสูบตามความเร็วของเครื่องยนต์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสมรรถนะของรถยนต์ไปพร้อมๆ กับการประหยัดน้ำมัน อีกทั้งยังลดการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันและลดมลภาวะที่เกิดจากไอเสียได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

วิศวะกรของโตโยต้าให้ความสนใจกับระบบ  CVTi-S ใหม่นี้มาก การใช้ลูกรอก (pulleys) แบบใหม่ทำให้อัตราเร่งดีขึ้นและประหยัดน้ำมันมากขึ้น, โครงสร้างสายพานแบบใหม่ช่วยลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร ปํ๊ทน้ำมันแบบ 2-พอร์ต coaxial เพื่อให้มีแรงดันน้ำมันที่ต่อเนื่องตามสภาวะการขับขี่ที่ต่างกัน ซึ่งระบบปรับเปลี่ยนเกียร์ที่ใช้เป็นแบบ simulated 7-speed Sequential Shiftmatic พร้อม Sport Mode

ความปลอดภัยชั้นเลิศ 

Toyota C-HR มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense P™ (TSS-P) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งนับว่าเป็นรถรุ่นเดียวใน segment นี้ ที่มีระบบป้องกันการชน (Pre-Collision System) พร้อมระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Braking) ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และคาดว่าน่าจะเป็นรุ่นเดียวใน segment ที่มีระบบ Full-Speed Range Dynamic Radar Cruise Control เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

TSS-P เป็นแพ๊คเกจมาตรฐานความปลอดภัยที่โตโยต้าได้รวมเอาเทคโนโลยีความปลอดภัยชั้นสูงไว้ด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย

  • Pre-Collision System with Pedestrian Detection function (PCS w/PD) – ใช้กล้องและเรดาห์ในการตรวจจับรถและคนเดินเท้าที่อยู่ข้างหน้า เมื่อระบบคาดว่าจะเกิดอุบัติเหตุ จะส่งเสียงเตือนให้คนขับหยุดรถ ถ้าคนขับเบรคช้าเกินไประบบจะทำการเบรคให้โดยอัตโนมัติ เพื่อป้องการเกิดอุบัติเหตุหหรือลดแรงปะทะจากการชน
  • Lane Departure Alert with Steering Assist function (LDA w/SA) – จะใช้กล้องตรวจจับเส้นบนพื้นถนน ถ้ารถเริ่มออกนากเลนจะส่งสัญญาณเตือน พร้อมหมุนพวงมาลัยกลับเข้าเลนอัตโนมัติอีกด้วย
  • Automatic High Beams (AHB) – ระบบเปิดไฟสูงอัตโนมัติ และจะปรับเป็นไฟต่ำทันทีเมื่อตรวจจับไฟหน้าของรถที่วิ่งสวนมาได้
  • Full-Speed Range Dynamic Radar Cruise Control (DRCC) – ช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าให้สัมพันธ์กับความเร็วที่ตั้งเอาไว้

นอกจากระบบ TSS-P แล้ว C-HR ก็ยังมีถุงลมนิรภัยมาให้ถึง 10 ลูก, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill-Start Assist Control – HAC), และกล้องมองหลัง เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และยังมีระบบตรวจจับมุมอับสายตา (Blind Spot Monitor) และ ระบบแจ้งเตือนรถวิ่งตัดท้ายขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert) ซึ่งจะมีเฉพาะในรุ่น XLE Premium เท่านั้น

นับว่า C-HR เป็นรถ Crossover อีกรุ่นหนึ่งที่น่าใช้มากทีเดียวไม่ว่าจะรูปทรงที่ปราดเปรียวทันสมัย เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและมีระบบความปลอภัยที่ล้ำสมัยแบบจัดเต็มอีกด้วย โดยราคาจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ $22,500 สำหรับ XLE และ $24,350 สำหรับ XLE Premium ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันว่าในเมืองไทยจะเปิดราคาที่เท่าไหร่ และเราจะได้สัมผัสเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแบบนี้หรือไม่

ใส่ความเห็น