วันศุกร์, มีนาคม 29, 2024
CARNew Carข่าว

จิตวิญญาณอันเร้าใจของลัมโบร์กินี ย้อนอดีตของเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ก่อนก้าวสู่ยุคไฮบริด

เครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ถือเป็นหัวใจสำคัญของลัมโบร์กินีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ซึ่งในความเป็นจริงนั้น จวบจนปัจจุบันมีการผลิตเครื่องยนต์ V12 เพียงแค่ 2 รุ่นที่ถูกวางอยู่ในรถซูเปอร์สปอร์ตคาร์ โดยรุ่นแรกเป็นเครื่องยนต์พื้นฐานสำหรับรถแข่งที่ “ถูกปรับแต่ง” สำหรับใช้วิ่งบนท้องถนนซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของจิอ็อตโต้ บิซซารินี (Giotto Bizzarrini) และเปิดตัวครั้งแรกในรถยนต์ลัมโบร์กินีรุ่นแรกอย่าง 350 GT ส่วนเครื่องรุ่นที่สองถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดแต่ยังคงยึดแนวคิดเชิงเทคนิคแบบเดิม ติดตั้งครั้งแรกในรถยนต์ตระกูล Aventador และเปิดตัวในปี ค.ศ. 2011 ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญของบริษัท ตลอดจนการสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านกำลังเครื่องและประสิทธิภาพที่มั่นใจได้

 

เครื่องยนต์รุ่นแรกได้ผ่านการปรับแต่งและการพัฒนาต่อยอดประสิทธิภาพมาโดยตลอด เพื่อเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น และต่อมายังคำนึงถึงเรื่องการประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยไอเสียร่วมด้วย ซึ่งช่วงเวลาระหว่างปี ค.ศ. 1963-2010 เครื่องยนต์รุ่นนี้ถูกวางในหลายตำแหน่งของตัวรถยนต์ โดยในครั้งแรกถูกวางบริเวณด้านหน้าของรถยนต์ในรุ่น 350 GT, 400 GT และ Espada โดยได้รับการพัฒนาให้ใช้วัสดุอะลูมิเนียมในส่วนฝาสูบ          ข้อเหวี่ยง และลูกสูบ เพื่อลดน้ำหนักให้เหลือเพียง 232 กก. ต่อมาถูกวางหลังคนขับบริเวณกลางตัวรถโดยหมุนแกน 90 องศาตามแนวขวางในรถยนต์ตระกูล Miura และต่อมาถูกหมุนอีก 90 องศา โดยวางกลางตัวถังส่วนท้ายตามแนวยาว โดยเริ่มใช้ในรถยนต์ตระกูล Countach เพื่อเพิ่มสมดุลของการกระจายน้ำหนักให้ดียิ่งขึ้น

 

เมื่อเครื่องยนต์ถูกพัฒนาให้มีความจุมากขึ้นจาก 3.5 ลิตรในรุ่น 350 GT เป็น 6.5 ลิตรในรุ่น Murciélago จึงยิ่งจำเป็นต้องลดน้ำหนักลง ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงริเริ่มใช้วัสดุและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อลดน้ำหนักของเครื่องยนต์บนโครงแชสซี จวบจนในวันนี้ เครื่องยนต์ V12 ยังคงเป็นหัวใจสำคัญทั้งในรถยนต์ Aventador, Sián และ Countach LPI 800-4 ของลัมโบร์กินี รวมถึง Essenza SCV12 รถสปอร์ตเจ้าสนามที่ให้กำลังเครื่องสูงถึง 830 แรงม้า

 

จุดกำเนิดของขุมพลังอันล้ำค่า

นับตั้งแต่เริ่มต้น เครื่องยนต์ V12 ถูกยกย่องให้เป็นขุมพลังที่มีความประณีตและยอดเยี่ยมที่สุด ซึ่งได้รับกระแสตอบรับมากยิ่งขึ้นเมื่อนำมาวางในรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ของลัมโบร์กินี โดยบิซซารินีรังสรรค์เครื่องยนต์ V12 เพียงเพื่อสร้างโอกาสให้บริษัทสามารถก้าวเข้าสู่โลกของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ทว่า เฟอร์รุชโช ลัมโบร์กินี (Ferruccio Lamborghini) กลับนำมาทำเป็นเครื่องยนต์สำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ จนกลายเป็นเรื่องราวแห่งยนตรกรรมอันน่าหลงใหลที่สืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

 

“เรื่องราวของลัมโบร์กินีเริ่มต้นขึ้นจากเครื่องยนต์ V12 นี่เอง” เมาริซิโอ เรจจิอานี (Maurizio Reggiani) อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าว “เห็นได้ชัดว่าในช่วงทศวรรษ 1960 เครื่องยนต์ V12 ถือเป็นตัวแทนแห่งสุดยอดด้านเทคโนโลยี ความหรูหรา และคุณลักษณะของรถยนต์สปอร์ตที่แท้จริง”

 

หลังจากใช้ในรถยนต์ 350 GT และรุ่นต่อยอดอื่น ๆ เครื่องยนต์ V12 จึงได้ถูกนำมาวางไว้ในรถยนต์ Miura ในปี 1966 และ Countach ในปี 1971 รวมถึง Diablo ในปี 1990 ก่อนที่จะถูกใช้ในรถยนต์รุ่นสุดท้ายคือ Murciélago เครื่องยนต์รุ่นนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะรอบด้านอย่างเด่นชัด เมื่อทีมวิศวกรได้ออกแบบเครื่องยนต์ในเวอร์ชันความจุ 5.2 ลิตรสำหรับใช้ในซูเปอร์เอสยูวีรุ่นแรกของลัมโบร์กินีอย่าง LM 002 ในปี 1986 และต่อมามีการผลิต LM 002 เวอร์ชั่นพิเศษซึ่งเป็นเครื่องยนต์ V12 ขนาด 7.2 ลิตร ที่ให้กำลังเครื่องถึง 700 แรงม้า ซึ่งโดยปกติจะใช้ใน   เรือยนต์สำหรับการแข่งขันนอกชายฝั่งเท่านั้น 

 

การเปลี่ยนแปลงแนวคิดครั้งสำคัญ

ด้วยการคิดค้นเพลาลูกเบี้ยวคู่ ซึ่งเป็นการออกแบบเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์เป็นครั้งแรก ช่วยเพิ่มมุมองศารูปตัว “V” ของเครื่องและทำให้ได้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง โดยเลือกติดตั้งเครื่องยนต์แนวขวางบริเวณกลางส่วนท้ายของรถยนต์ Miura เพื่อให้มีการกระจายน้ำหนักที่ดีขึ้นและทำให้ระยะช่วงล้อสั้นลง โครงของกระปุกเกียร์และเฟืองท้ายยังถูกผสานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบส่งกำลัง เพื่อช่วยให้การประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ โดยรวมของซูเปอร์สปอร์ตคาร์ระดับตำนานนี้มีความกะทัดรัดและมั่นคงยิ่งขึ้น

 

การกระจายน้ำหนักคือหัวใจสำคัญ

ด้วยความมุ่งมั่นยกระดับประสิทธิภาพการกระจายน้ำหนักในรถยนต์รุ่น Countach ทำให้ทีมนักออกแบบเลือกใช้เครื่องยนต์แบบเดิมแต่เปลี่ยนตำแหน่งติดตั้งมาเป็นบริเวณกลางท้ายตัวถังและหมุนมุมเพิ่มอีก 90 องศา ซึ่งถือว่าเป็นการปรับมุมจากครั้งแรกในรุ่น 350 GT ไปถึง 180 องศาเลยทีเดียว โดยพวกเขาได้ติดตั้งกระปุกเกียร์ที่ด้านหน้าเครื่องยนต์ซึ่งในทางปฏิบัติก็คือ “อยู่ในห้องโดยสาร” นั่นเอง โดยในเวอร์ชั่นสุดท้าย เครื่องยนต์ของ Countach สามารถเพิ่มความจุได้ถึง 5.2 ลิตร และต่อมาเครื่องยนต์ V12 ใน Countach รุ่นปี 1986 ก็ได้รับการอนุมัติให้จำหน่ายในตลาดสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้สำเร็จได้ด้วยการใช้ระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งนำมาทดแทนการใช้คาร์บูเรเตอร์เพื่อให้สอดคล้องตามข้อกำหนดเรื่องการลดมลพิษที่เข้มงวดมากกว่าของตลาดแห่งนี้

 

“ด้วยความจุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ยาวขึ้น ซึ่งหมายความว่าเราต้องย้ายจุดศูนย์ถ่วงไปที่ส่วนท้ายของตัวรถ” เรจจิอานี กล่าว “การทำเช่นนี้ทำให้เกิดความลำบากในการขับขี่และคุณต้องประสบกับอาการท้ายปัดมากขึ้น เราจึงต้องปรับรูปแบบการวางตำแหน่งเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด โดยใช้เครื่องยนต์เป็นตัวเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงของรถและทำให้เครื่องยนต์ V12 ใน Countach ยังคงอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน”

 

ตอบโจทย์การขับเคลื่อนสี่ล้ออย่างตรงจุด

การพัฒนาต่อยอดเครื่องยนต์ V12 เริ่มขึ้นในปี 1985 เพื่อเตรียมนำไปติดตั้งกับซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่อย่าง Diablo ซึ่งเปิดตัวในปี 1990 ด้วยความจุเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นไปที่ 5.7 ลิตรและให้กำลังเครื่องถึง 492 แรงม้าที่ 6,800 รอบต่อนาที โดย Diablo เวอร์ชั่น VT ซึ่งเผยโฉมในปี 1993 กลายเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นแรกของลัมโบร์กินีที่นำเสนอเวอร์ชั่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ในขณะเดียวกัน Diablo SV-R ก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้แข่งขันในรายการ Super Sport Trophy โดยเปิดตัวครั้งแรกในฐานะรถแข่งของรายการ 24 Hours of Le Mans ปี 1996 ซึ่งมีกองทัพรถยนต์ Diablo SV-R กว่า 32 คันเข้าร่วมแข่งขัน ถือเป็นโปรแกรมที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ลัมโบร์กินีเคยเข้าร่วม ก่อนที่จะกลายเป็นรายการ Super Trofeo Championship ซึ่งเริ่มจัดครั้งแรกในปี 2009

 

Diablo GT รุ่นปี 1998 ซึ่งโดยพื้นฐานเป็น Diablo รุ่นแรกก่อนรุ่นที่สอง ซึ่งจะเปิดตัวในปี 1999 มีการอัปเกรดทางเทคนิคครั้งสำคัญของเครื่องยนต์ โดยส่วนสำคัญคือการใช้ลิ้นปีกผีเสื้อ (Throttle Body) สำหรับแต่ละกระบอกสูบ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มการตอบสนองของคันเร่ง การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องสำคัญราวกับการก้าวสู่อนาคตเลยทีเดียว หากมองว่าเทคโนโลยีรูปแบบคล้ายกันนี้ยังได้ถูกนำมาติดตั้งใน Huracán GT3 รุ่นใหม่ที่กำลังจะลงแข่งในปี 2023 เช่นกัน

 

ความท้าทายครั้งใหม่ด้วยความล้ำหน้าของ Murciélago

เมื่ออาวดี้ (Audi) ซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในลัมโบร์กินี ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจึงได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งเจ้าของรายใหม่ตระหนักดีว่าลัมโบร์กินีต้องการรักษาอัตลักษณ์และความโดดเด่นระดับเอ็กซ์คลูซีฟเอาไว้ “เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอาวดี้และลัมโบร์กินีที่ชัดเจนและยังคงเคารพความต้องการของกันและกัน” เรจจิอานี กล่าว “นับตั้งแต่วันแรก อาวดี้เข้าใจดีว่าสิ่งใดที่สามารถร้องขอจากลัมโบร์กินีได้และสิ่งใดที่ขอไม่ได้ ซึ่งช่วยสร้างสมดุลให้ทั้งสองบริษัทสามารถพัฒนาผ่านการส่งเสริมจุดเด่นที่แตกต่างกันของทั้งคู่ เพราะความมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างของลัมโบร์กินีซึ่งทั้งผู้ถือหุ้นและแบรนด์อื่น ๆ ในเครือต่างตระหนักดี ถือเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จของเรา สิ่งที่เรานำเสนอผ่านการพัฒนาเครื่องยนต์ V12 ทำให้เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถยกระดับประสิทธิภาพเครื่องยนต์ V10 ซึ่งใช้งานครั้งแรกในรุ่น Gallardo รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเราต่อไป บนแนวทางอันเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับลัมโบร์กินี”

 

เมื่ออยู่ภายใต้เจ้าของรายใหม่ จึงมีการใช้แนวทางที่แตกต่างเพื่อพัฒนาต่อยอดเครื่องยนต์ V12 ซึ่งจากการพยายามเพิ่มกำลังเครื่องให้ได้สูงสุด ก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญในด้านประสิทธิภาพเชิงปริมาณเพื่อให้สอดคล้องตามกฎข้อบังคับที่เริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้น ตัวอย่างหนึ่งคือรถยนต์ Murciélago ซึ่งเผยโฉมในปี 2001 ด้วยเครื่องยนต์ V12 ความจุ 6.2 ลิตร ที่ให้กำลังเครื่อง 580 แรงม้า และต่อมาได้รับการอัปเดตในปี 2007 เป็นเครื่องยนต์ความจุ 6.5 ลิตร และมอบกำลังเครื่องได้อย่างน่าประทับใจถึง 670 แรงม้าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ตัวรถเบางลงได้ถึง 100 กก. รวมถึงมีการอัปเกรดเครื่องยนต์ในหลาย ๆ ด้าน อาทิ ดรายปั๊ม ซึ่งช่วยให้ลัมโบร์กินีสามารถลดระยะระหว่างเพลาข้อเหวี่ยงและด้านล่างของตัวรถ จึงช่วยปรับปรุงการบังคับรถให้ดียิ่งขึ้น

 

การพัฒนาเครื่องยนต์ V12 ในรถยนต์ Murciélago ทำให้ลัมโบร์กินีค้นพบตำแหน่งที่ชัดเจนของตัวเองภายในอาณาจักรของอาวดี้ และยิ่งไปกว่านั้นการตัดสินใจออกแบบเครื่อง V12 ใหม่ทั้งหมด ทำให้ทีมนักออกแบบของลัมโบร์กินีสามารถตั้งเป้าหมายใหม่และสร้างประโยชน์จากโอกาสใหม่ ๆ ในช่วงเวลา 45 ปีที่ผ่านมา  

 

งานออกแบบใหม่ทุกรายละเอียดของ Aventador 

“เมื่อคุณเริ่มออกแบบเครื่องยนต์ใหม่หมดตั้งแต่ต้น สิ่งที่คุณต้องพิจารณาตั้งแต่เริ่มแรกคือเงื่อนไขขอบเขตที่คุณต้องรักษาสภาพการใช้งานในทุกรูปแบบและจากทุกมุมมอง” เรจจิอานี กล่าว “สำหรับลัมโบร์กินี รถยนต์ Aventador เปรียบเสมือนการพิสูจน์ว่าเราสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งในด้านกำลังเครื่อง น้ำหนัก และประสิทธิภาพ รวมถึงความทนทานที่ทางกลุ่มบริษัทต้องการจากเรา ซึ่งผลลัพธ์ก็เห็นได้ชัด เพราะเราสามารถจำหน่ายรถยนต์รุ่นนี้ได้มากเป็นสองเท่าจากที่คาดการณ์ในช่วงแรก และสิ่งนี้ถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีถึงความสำเร็จของ Aventador แม้มีการปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพเป็นเวลานานหลายปี แต่จากมุมมองทางวิศวกรรมแล้ว เครื่องยนต์ยังคงดีเยี่ยมเหมือนเดิมทุกประการ”

 

“ในช่วงที่เราเริ่มทำงานกับรถยนต์ Murciélago เรามีเครื่องยนต์ 6.2 ลิตรและกำลังเครื่องเฉลี่ย 620-640 แรงม้า แต่กับ Aventador เราเริ่มต้นด้วยเครื่อง 6.5 ลิตรและกำลังเครื่องถึง 700 แรงม้า ซึ่งเราตระหนักได้ว่าตลอดอายุของรถยนต์รุ่นนี้ จำเป็นต้องเพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างน้อย 10% ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มาก เนื่องจากเราผ่านตามมาตรฐานการปล่อยไอเสียตามมาตรฐาน Euro 5 และอย่าลืมว่านี่เป็นโครงการผลิตเครื่องยนต์        ลัมโบร์กินีรูปแบบใหม่โครงการแรกภายใต้ร่มเงาของอาวดี้ ทำให้เราต้องเจอกับข้อกำหนดต่าง ๆ ที่บัญญัติขึ้นโดยกลุ่มบริษัทอีกมากมาย” 

 

เครื่องยนต์ของ Aventador เปิดตัวในปี 2011 มอบกำลังเครื่องยนต์ 690 แรงม้าที่ 8,250 รอบต่อนาทีด้วยความจุ 6.5 ลิตร ซึ่งต่อมาได้ถูกปรับแต่งสำหรับใช้กับรถยนต์รุ่น LP 700-4 ในปี 2013 รุ่น LP 750-4 ในปี 2015 และรุ่น Superveloce ในปี 2016 และรุ่น SVJ ในปี 2019 ซึ่งกำลังเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 759 แรงม้า และต่อมาในปี 2021 กับรุ่น Ultimae รถยนต์สำหรับท้องถนนรุ่นสุดท้ายในตระกูล Aventador ซึ่งมีกำลังเครื่องถึง 780 แรงม้า เครื่องยนต์รุ่นเดียวกันนี้ยังถูกติดตั้งใน Essenza ซึ่งใช้วิ่งในสนามแข่งเท่านั้นจึงไม่ได้ถูกจำกัดด้วยข้อกำหนดการวิ่งบนท้องถนน ซึ่งในการปรับแต่งครั้งนี้สามารถเพิ่มกำลังเครื่องเป็น 830 แรงม้า จึงนับเป็นความประทับใจใน  แวดวงวิศวกรรมยุคใหม่อย่างแท้จริง “การนำเสนอเครื่องยนต์ V12 รุ่นสูงสุดของเราอยู่ในรถยนต์ Essenza V12 นี่เอง ด้วยเครื่องยนต์แบบเดียวกันแต่สามารถมอบกำลังถึง 830 แรงม้า” เรจจิอานี กล่าว “เครื่องยนต์ยังเหมือนเดิม แต่แรงดันย้อนกลับของท่อไอเสียต่ำลง เนื่องจากไม่ต้องติดฟิลเตอร์และอุปกรณ์ฉนวนกันเสียง ส่วนฟิลเตอร์อากาศเข้าก็มีอัตราการลดความดันที่น้อยลง ทำให้คุณได้ประสิทธิภาพเชิงปริมาณที่สูงขึ้น เมื่อพิจารณาจากมุมมองด้านการผลิต เครื่องยนต์ V12 คือข้อพิสูจน์ว่าการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ดีตั้งแต่เริ่มต้นสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ทั้งแง่สุนทรียศาสตร์และกำลังเครื่องยนต์ได้ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม”

 

Aventador เป็นรถยนต์รุ่นสุดท้ายของลัมโบร์กินีที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ก่อนที่แบรนด์จะก้าวเข้าสู่ยุคเครื่องยนต์ไฮบริด ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาสแรกของปี 2023 นี้

Thep Neng
the authorThep Neng

ใส่ความเห็น